#คําแนะนําสําหรับSme

10 สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนเริ่มธุรกิจ

Anna Thompson
Anna Thompson
Discover content team
6 min read
facebook sharing button
twitter sharing button
linkedin sharing button
Smart Share Buttons Icon Share
10 สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนเริ่มธุรกิจ

หากคุณตัดสินใจว่าปีนี้เป็นปีที่คุณจะเปลี่ยนไอเดียธุรกิจที่คุณมีมาสักพักให้กลายเป็นความจริง เยี่ยมเลย! แต่ก่อนที่คุณจะรีบเริ่มมันควรรู้ก่อนว่าการเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็กต้องใช้เวลาเตรียมการอย่างมาก เราได้รวบรวมข้อควรคำนึงถึงที่สําคัญ 10 ข้อที่จะพาคุณไปสู่เส้นทางที่ดีที่สุดแห่งความสำเร็จ

10 สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนเริ่มธุรกิจ

1. รู้จักตลาด

ธุรกิจเป็นเรื่องเกี่ยวกับอุปสงค์และอุปทาน ไม่ว่าคุณจะหลงใหลในโปรเจคของคุณแค่ไหนแต่โปรเจคจะประสบความสําเร็จในโลกที่กว้างใหญ่ได้ก็ต่อเมื่อมีความต้องการมากพอสำหรับมัน นี่คือบางสิ่งที่คุณควรพิจารณา:

  • ขนาดปัจจุบันของตลาดที่คุณจะก้าวเข้าไป
  • ศักยภาพในการเติบโต
  • ช่องว่างไหนที่คุณสามารถพัฒนาแนวคิดทางธุรกิจเพื่อเติมเต็มได้

ซึ่งนําเราไปสู่ข้อที่ 2 ได้อย่างดี...

2. รู้จักคู่แข่งของคุณ

การเปลี่ยนธุรกิจเป็นดิจิทัล (Digitization) หมายความว่าการแข่งขันจะดุเดือดกว่าที่เคย ไม่ว่าคุณจะขายอะไร คนที่อาจเป็นลูกค้าของคุณสามารถเปรียบเทียบคุณกับคู่แข่งหลายรายได้ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง ดังนั้นควรต้องรู้เท่าทันถึงสิ่งที่คุณเผชิญอยู่ใช่ไหมล่ะ

ข้อที่หนึ่ง หาข้อมูลออนไลน์และค้นหาคําที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดธุรกิจของคุณ ดูผลลัพธ์อันดับต้น ๆ: ธุรกิจนั้นนําเสนออะไร พวกเขามีอะไรที่คุณไม่มีและคุณมีอะไรที่พวกเขาไม่มี พวกเขาเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการในราคาใด หากคุณไม่สามารถเสนอสิ่งที่ดีกว่าหรือถูกกว่าได้คุณอาจต้องคิดหาแนวทางใหม่   

ข้อที่สอง การวิเคราะห์คู่แข่งอย่างละเอียดเป็นสิ่งสําคัญ มันจะช่วยให้คุณเจอช่องว่างในตลาดที่ความต้องการของลูกค้าไม่ได้รับการตอบสนอง - ที่คุณสามารถเสนอธุรกิจของคุณเพื่อตอบสนองความต้องการนั้นได้ นอกจากนี้คุณยังจะได้เรียนรู้วิธีที่ดีที่สุดในการทําการตลาดและขายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และค้นพบเทรนด์ของตลาดที่อาจส่งเสริมกลยุทธ์การเติบโตของคุณในอนาคต

ฟรี เครื่องมือวิเคราะห์คู่แข่งจากเราจะช่วยให้คุณเป็นผู้นําในการแข่งขัน!

3. รู้จักลูกค้าของคุณ

หนึ่งในส่วนที่สําคัญที่สุดของทุกธุรกิจคือการรู้จักลูกค้าของคุณอย่างแท้จริง แรงจูงใจ พฤติกรรม และความต้องการของพวกเขาควรอยู่ในทุกส่วนของกลยุทธ์การเติบโตทางธุรกิจของคุณตั้งแต่การกําหนดราคาไปจนถึงการตลาด

ศึกษาข้อมูลลูกค้าเกี่ยวกับอายุ เพศ รายได้ และอาชีพของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของคุณ (แน่นอนว่าอาจต้องมีข้อมูลที่หลากหลายขึ้นอยู่กับธุรกิจของคุณ) ต่อไปนี้คือเคล็ดลับบางอย่างที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้น:

  • เขียนลิสต์คําถามสําคัญเพื่อตอบเมื่อศึกษาโปรไฟล์ลูกค้า ตัวอย่างเช่น เพราะอะไรลูกค้าจึงสนใจธุรกิจของคุณ คุณสามารถแก้ปัญหาอะไรให้พวกเขาได้บ้าง
  • ศึกษาตลาด - โพสต์แบบสํารวจบนโซเชียลมีเดียและเชิญชวนให้แสดงความคิดเห็น คุณสามารถข้ามขั้นโดยการสัมภาษณ์คนที่จะเป็นลูกค้าของคุณ
  • ดูฟีดโซเชียลมีเดียของคู่แข่ง - ใครคือผู้ติดตามของพวกเขาและในช่องคอมเมนต์พวกเขามีการสนทนาอะไรบ้าง

เมื่อธุรกิจของคุณเปิดตัวคุณสามารถหันไปใช้ซอฟต์แวร์ CRM และข้อมูลการวิเคราะห์เพื่อติดตามพฤติกรรมของลูกค้าและป้อนรายละเอียดเพิ่มเติมให้กับโปรไฟล์ลูกค้าของคุณ เช่น ในช่วงเวลาที่พวกเขาออนไลน์มากที่สุด ซึ่งจะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและมั่นใจได้ว่าข้อความทางการตลาดของคุณจะเข้าถึงผู้คนที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสม

4. สร้างแบรนด์ของคุณ

การสร้างแบรนด์คือเรื่องของการสร้างอิทธิพลต่อวิธีที่ลูกค้ามองธุรกิจของคุณ โดยเริ่มต้นด้วยชื่อแบรนด์ที่คุณเลือกผ่านการสื่อสารทางการตลาดของคุณ เช่น:

  • วัตถุประสงค์ของธุรกิจคุณคืออะไร
  • USP คืออะไร
  • อะไรทําให้คุณแตกต่างจากคู่แข่ง คุณค่า การออกแบบ หรือนวัตกรรม
  • คุณลักษณะใดของธุรกิจที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะให้ความสนใจมากที่สุด

เมื่อคุณได้คําตอบเหล่านี้แล้วคุณสามารถเริ่มสร้างน้ำเสียงและการออกแบบของแบรนด์เพื่อสื่อสารกับลูกค้าให้ได้ดีที่สุด

5. สร้างแผนธุรกิจ

บิตที่จะทําให้ทุกอย่างดูเหมือนจริงคือการเขียนแผนธุรกิจ ซึ่งควรรวมถึงวัตถุประสงค์ กลยุทธ์ เป้าหมาย และผลลัพธ์ที่คาดการณ์ไว้สําหรับธุรกิจของคุณ อีกทั้งยังเป็นวิธีที่ดีสุดที่ทำให้ธุรกิจเดินไปตามแผนที่วางไว้พร้อมกับการเติบโตของธุรกิจ มันเป็นสิ่งสําคัญหากคุณกําลังวางแผนที่จะรับเงินทุนจากธนาคารหรือนักลงทุนอีกทั้งยังจะมีความสําคัญเมื่อต้องการรับพนักงานใหม่และเข้าหาพันธมิตรที่มีศักยภาพ

หากทําอย่างถูกต้องคุณจะเจอจุดอ่อนในธุรกิจของคุณได้อย่างรวดเร็วและจุดที่คุณต้องการความช่วยเหลือหรือเพิ่มทักษะ คําแนะนําที่ดีที่สุดของเราในการออกแบบแผนธุรกิจจะช่วยให้คุณครอบคลุมสิ่งจําเป็นทั้งหมดและสามารถก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจสูงสุดพร้อมกับไอเดียธุรกิจของคุณ

6. การตลาด

ธุรกิจของคุณจะประสบความสําเร็จก็ต่อเมื่อคนรู้จัก! ภายในแผนธุรกิจของคุณควรเป็นโครงร่างของกลยุทธ์ทางการตลาด โดยควรพิจารณาวิธีเหล่านี้ :

  • โซเชียลมีเดีย สําหรับสตาร์ทอัพที่มีงบประมาณการตลาดจํากัด แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางที่ฟรีในการพูดเกี่ยวกับแบรนด์ สร้างผู้ติดตาม และมีการปฏิสัมพันธ์กับคนที่จะมาเป็นลูกค้า
  • การตลาดผ่านอีเมล ช่องทางนี้ยังมีคนใช้งานอยู่! การสร้างจดหมายข่าวรายเดือนพร้อมข่าวสารและข้อเสนอที่เกี่ยวข้องจากแบรนด์ของคุณสามารถดึงดูดผู้คนให้สมัครเพื่อรับส่วนลดได้ แต่อย่าส่งอีเมลเยอะจนเกินไป - การส่งอีเมลเกินพอดีให้ลูกค้าเป็นวิธีที่ทำให้พวกเขาหันหลังให้กับคุณอย่างรวดเร็ว
  • ความร่วมมือกับแบรนด์ การเป็นพันธมิตรที่คัดสรรมาอย่างดีกับแบรนด์ขนาดใหญ่และเป็นที่ยอมรับจะช่วยให้ธุรกิจของคุณถูกมองเห็นโดยลูกค้าที่เหมาะสม ระดมสมองแบรนด์เสริมที่คุณสามารถเข้าหาแคมเปญที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน
  • ความเป็นผู้นําทางความคิด นี่เป็นวิธีแสดงความจริงใจของคุณในธุรกิจด้วยการแบ่งปันความเชี่ยวชาญของคุณในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คุณสามารถแสดงให้เห็นว่าธุรกิจของคุณเป็นธุรกิจที่เชื่อถือได้ ค้นหาวิธีการเป็นผู้นําทางความคิดได้ที่นี่ 

7. คำนึงถึงความเสี่ยง

เราไม่อยากจะมองโลกในแง่ร้ายแต่มันเป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ว่าธุรกิจใหม่ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย ในความเป็นจริงประมาณ 20% ของการธุรกิจสตาร์ทอัพจะปิดตัวลงภายในปีแรก และ 50% ของธุรกิจอยู่รอดไม่ถึงห้าปี1

แต่มีสิ่งที่คุณสามารถทําได้เพื่อลดความเสี่ยง ดังคํากล่าวที่ว่า: การล้มเหลวในการเตรียมพร้อมคือการเตรียมพร้อมที่จะล้มเหลว โดยเริ่มต้นแต่ละสัปดาห์ด้วยการลิสต์สิ่งที่ต้องทำให้เสร็จและใช้แผนธุรกิจของคุณเป็นจุดอ้างอิงเพื่อให้แน่ใจว่าคุณกำลังทำตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้

การหาที่ปรึกษาก็เป็นอีกกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน นักธุรกิจที่ประสบความสําเร็จที่สามารถคอยชี้แนวทางพร้อมกับให้คําแนะนําและข้อมูลเชิงลึกนั้นมีค่ามาก

8. ควบคุมต้นทุน

เมื่อพูดถึงความเสี่ยง หนึ่งในสาเหตุสําคัญที่ธุรกิจล้มเป็นเพราะเงินทุนหมด2 เพื่อให้เงินหมุนเวียนอยู่ตลอดโปรดคำนึงถึงข้อสำคัญเหล่านี้:

  • ใช้เงินตามงบประมาณที่ตั้งไว้ จัดลําดับความสําคัญซัพพลายเออร์ให้พวกเขาได้รับเงินตรงเวลาเสมอ 
  • รักษาต้นทุนการก่อสร้างให้น้อยที่สุด สํานักงานที่หรูหราอาจน่าดูน่าสนใจ แต่จนกว่าธุรกิจของคุณจะสร้างผลกําไรที่ดีห้องนอนสํารองของคุณก็เพียงพอที่จะเป็นห้องทำงาน
  • เลือกซัพพลายเออร์ให้ดี ด้วยการเจรจาต่อรองเพียงเล็กน้อยคุณสามารถได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ขายรู้ว่าคุณกําลังเจรจากับคู่แข่งของพวกเขา
  • ลดการเสียเวลา เวลาคือเงิน! กระบวนการที่สามารถใช้ระบบอัตโนมัติได้จะช่วยประหยัดเงินให้กับธุรกิจของคุณได้มาก
  • จ้างงานฟรีแลนซ์ กว่าคุณจะสามารถจ้างพนักงานประจําได้อาจต้องใช้เวลาสักพักก่อน ในระหว่างนั้นให้ใช้ความยืดหยุ่นของฟรีแลนซ์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

9. การจ้างเอาท์ซอร์ส 

แม้แต่ผู้ประกอบการที่ทํางานหนักที่สุดและมีความชอบในธุรกิจของตัวเองเป็นอย่างมากก็ไม่สามารถทําทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว รู้ว่าจุดแข็งและจุดอ่อนของคุณในธุรกิจคืออะไรจากนั้นจ้างผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกมาปิดจุดออ่น นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีนับไม่ถ้วนเพื่อทําให้กระบวนการต่างๆ ของคุณเป็นไปโดยอัตโนมัติ – ศึกษาข้อมูลและมอบหมายงานให้พวกเขาทำแทน

10. จดจํากฎหมาย

ถึงจะเป็นด้านที่ไม่ค่อยน่าตื่นเต้นในการเริ่มต้นธุรกิจแต่ก็สําคัญ นี่คือภาพรวมสั้น ๆ ของกฎหมายที่คุณต้องคำนึงถึง:

  • การจดทะเบียนธุรกิจของคุณ
  • การมีประกันภัยธุรกิจ
  • การจดสิทธิบัตรทางความคิดในกรณีที่จําเป็น
  • การปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลลูกค้า
  • การตรวจสอบสิทธิของพนักงานในการทํางาน
  • สุขภาพและความปลอดภัย

แน่นอนว่ากฎและข้อบังคับแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศดังนั้นคุณควรศึกษาค้นคว้าให้ละเอียดถี่ถ้วน  

ขั้นตอนถัดไป...

หลังจากเปิดตัวคือการเติบโต กลยุทธ์การเติบโตทางธุรกิจจะช่วยให้ธุรกิจขนาดเล็กของคุณมองเห็นถึงทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ ตั้งแต่การก้าวเข้าสู่ตลาดใหม่ไปจนถึงการขยายช่องทางการขาย ศึกษาเคล็ดลับ 7 ข้อเพื่อนําธุรกิจของคุณไปสู่อีกระดับ

อย่าลืมขั้นตอนสุดท้าย! ในฐานะผู้นําด้านโลจิสติกส์  DHL Express มีประสบการณ์มากมายในการช่วยให้สตาร์ทอัพขนส่งสินค้าและส่งมอบให้กับลูกค้าได้ตรงเวลา ปรึกษากับเราวันนี้เกี่ยวกับวิธีที่สามารถช่วยให้คุณรักษาสัญญาของลูกค้า

1 - Lending Tree, May 2022

2 - DC Incubator, November 2019