หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก การจัดส่งไปต่างประเทศเป็นกลยุทธ์ที่สร้างรายได้และช่วยขยายฐานลูกค้า แต่ก็มีความท้าทายอยู่บ้าง นั่นคือ การปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านภาษีและอากรของแต่ละประเทศ การไม่ปฏิบัติตามอาจทำให้พัสดุของคุณถูกกักที่ศุลกากรหรือเสียค่าปรับจำนวนมาก
สิ่งที่คุณต้องรู้เพื่อให้แน่ใจว่าพัสดุของคุณส่งถึงลูกค้าที่อยู่ต่างประเทศได้ตรงเวลา
อากรขาเข้า (Import Duty) คืออะไร?
อากรขาเข้า (หรืออากรศุลกากร) คือภาษีที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรจัดเก็บจากสินค้าทั้งหมดที่ขายข้ามพรมแดน เป้าหมายของอากรขาเข้าคือการเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลท้องถิ่น แต่ก็เป็นการเพิ่มราคาของสินค้าที่สูงสุดด้วยสำหรับผู้บริโภค การมีอากรขาเข้าจึงเป็นวิธีสนับสนุนให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าจากตลาดภายในประเทศซึ่งไม่ต้องเสียภาษี ตัวอย่างอากรขาเข้าที่พบบ่อย ได้แก่ ภาษีการค้าและอากรสรรพสามิต
ภาษีนำเข้าคืออะไร?
ภาษีนำเข้า คืออัตราภาษีคงที่ที่ศุลกากรเรียกเก็บจากการนำเข้า ในหลายกรณี ภาษีจะเท่ากับภาษีการขายในท้องถิ่น แม้ว่าจะซื้อสินค้าในต่างประเทศ ภาษีการบริโภคนี้จะยังคงมีผลบังคับใช้เมื่อเข้าประเทศอื่น ตัวอย่าง ได้แก่ ภาษีการขายและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
อากรและภาษีส่งผลต่อการจัดส่งของคุณอย่างไร?
อากรและภาษีจะส่งผลต่อต้นทุนรวมของการจัดส่งของคุณ สิ่งสำคัญคือคุณจะต้องตระหนักและคำนึงถึงปัจจัยนี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อที่จะนำต้นทุนเหล่านี้ไปรวมไว้ในกลยุทธ์การกำหนดราคาเพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจยังสามารถทำกำไรได้ นอกจากนี้ การจัดการอากรและภาษีอย่างไม่เหมาะสมอาจทำให้พัสดุของคุณถูกกักที่ศุลกากร และโดนค่าปรับอีกด้วย
ภาษีนำเข้ามีมูลค่าเท่าไหร่?
แต่ละประเทศมีเกณฑ์มูลค่าขั้นต่ำในการนำเข้าที่ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า หรืออีกคำที่คุ้นเคยกันก็คือ de minimis
จำนวนภาษีและอากรที่คุณต้องจ่ายสำหรับการจัดส่งจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่:
- มูลค่าสินค้า (รวมค่าประกันและค่าขนส่ง)
- รายละเอียดสินค้า
- ประเทศหรือภูมิภาคต้นทาง
- อัตราภาษีของประเทศปลายทาง
- พิกัดศุลกากร (HS Code) ของสินค้า
พิกัดศุลกากร (HS Code) คืออะไร?
พิกัดศุลกากร (Harmonized System Code) คือตัวระบุเฉพาะเพื่อจำแนกประเภทของสินค้าที่จะจัดส่ง ระบบนี้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล กรมศุลกากรของประเทศหนึ่ง ๆ จะกำหนดกฎระเบียบที่แตกต่างกันตามการจำแนกประเภทต่าง ๆ
เมื่อคุณกรอกใบนำส่งสินค้าสำหรับการจัดส่งระหว่างประเทศ คุณจะต้องป้อน HS Code ของสินค้า เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะใช้รหัสนี้เพื่อทำความเข้าใจว่าสินค้าใดถูกจัดส่งและใช้ภาษีและอากรที่ถูกต้อง หากคุณใส่รหัสไม่ถูกต้อง คุณอาจจะต้องชำระเงินในอัตราที่ไม่ถูกต้อง หรือแย่กว่านั้นคือ การจัดส่งของคุณถูกปฏิเสธโดยประเทศปลายทาง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องทำให้ถูกต้อง ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับ HS Code โดยเฉพาะเพื่อช่วยเหลือคุณ
วิธีการคำนวณภาษีนำเข้า
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านลอจิสติกส์ระหว่างประเทศ DHL Express มีโซลูชั่นเพื่อช่วยให้ธุรกิจขนส่งสินค้าไปต่างประเทศได้อย่างราบรื่น ซึ่งรวมถึง เครื่องมือประมาณต้นทุนแฝง (Landed Cost Estimator) ซึ่งเป็นเครื่องคำนวณง่าย ๆ ที่ประมาณอากร ภาษี ค่าขนส่ง และอื่น ๆ เพื่อทราบต้นทุนแฝงทั้งหมดและช่วยให้กำหนดราคาได้ดีขึ้น
ฝ่ายที่รับผิดชอบภาษีและอากรนำเข้า
แล้วใครเป็นผู้รับผิดชอบในการชำระภาษีและอากรนำเข้าสำหรับการขนส่งข้ามพรมแดน? ในส่วนนี้จะซับซ้อนเล็กน้อย มาดูความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายกันดีกว่า
ผู้ให้บริการขนส่ง (Carrier): คือการบริการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน เช่น DHL Express ในการค้าระหว่างประเทศ ผู้ขนส่งทำหน้าที่เป็นนายหน้าศุลกากรจัดการเอกสารที่สำคัญให้กับลูกค้าเพื่อให้สินค้าผ่านพิธีการศุลกากรโดยไม่มีปัญหาใดๆ ผู้ขนส่งยังรับผิดชอบในการจัดเก็บภาษีและอากรนำเข้าที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
ผู้ส่งออกและผู้นำเข้า: ในกรณีธุรกรรมข้ามพรมแดนอีคอมเมิร์ซแบบ B2C ผู้ขายส่งสินค้าออกนอกประเทศคือผู้ส่งออก ส่วนลูกค้าที่ซื้อสินค้าถือเป็นผู้นำเข้า ฝ่ายที่รับผิดชอบในการชำระภาษีและอากรที่ผู้ขนส่งมอบให้นั้นจะถูกกำหนดโดยชุดกฎที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลที่เรียกว่า Incoterms
Incoterms เป็นข้อตกลงระหว่างผู้ส่งออกและผู้ขนส่ง:
- (DDP- Delivery Duty Paid) ผู้ขายต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าจากสถานที่ของผู้ขายไปยังสถานที่ของผู้ซื้อ รวมถึงพิธีการทั้งขาออก-ขาเข้า และภาษีนำเข้าด้วย
- (DDU- Delivered Duty Unpaid) ในกรณีนี้ ผู้ขายมีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดส่งสินค้าไปยังปลายทางและค่าใช้จ่ายในการขนส่ง แต่ลูกค้าจะต้องชำระภาษีและอากรนำเข้าที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้กับผู้ให้บริการขนส่งเมื่อได้รับพัสดุ
ทั้งนี้ Incoterms อย่างหลังไม่ค่อยได้รับความนิยมในหมู่ลูกค้ามากนัก ทั้งๆที่ดูเป็นเหมือนตัวเลือกที่ถูกกว่าสำหรับธุรกิจของคุณ แต่คุณสามารถยอมรับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับลูกค้าด้วยวิธีนี้ได้ไหม? ลูกค้าอาจไม่พอใจและไม่กลับมาซื้ออีกครั้งก็เป็นได้!
Importer of Record: บุคคลหรือนิติบุคคลที่รับผิดชอบในการรับรองการปฏิบัติตามการนำเข้า พวกเขาต้องจัดการเอกสารทั้งหมด (เช่น ใบอนุญาตและใบรับรอง) ที่จำเป็นสำหรับการนำเข้า รวมถึงครอบคลุมอากรและภาษีทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ในกรณีของ DDP ผู้ขายคือ Importer of Record
ข้อควรพิจารณาในการจัดส่งไปต่างประเทศ
มีหลายสิ่งที่ต้องวางแผนเมื่อจัดส่งไปยังต่างประเทศ ซึ่งรวมถึง:
- กฎระเบียบศุลกากรของประเทศปลายทาง สิ่งสำคัญคือต้องศึกษาภาษีนำเข้าและอัตราอากรท้องถิ่นเพื่อนำมาพิจารณารวมในต้นทุนของคุณ ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ Country Guides
- เอกสารการจัดส่ง ซึ่งอาจรวมถึงใบกำกับสินค้า ใบนำส่งสินค้า และใบตราส่งที่ละเอียดและถูกต้อง
- การให้พัสดุของคุณไปถึงจุดหมายปลายทางในสภาพที่สมบูรณ์ สินค้าควรบรรจุในกล่องที่มีขนาดเหมาะสมและถูกต้อง (แถมยังช่วยลดต้นทุนการขนส่งด้วย!) โดยมีป้ายกำกับแสดงไว้อย่างชัดเจน ชนะใจลูกค้าเพิ่มเติมด้วย บรรจุภัณฑ์รักษ์โลก!
- สิ่งของต้องห้ามและของต้องกำกัด สินค้าที่จัดส่งโดยไม่มีใบรับรองหรือใบอนุญาตที่ถูกต้องอาจถูกศุลกากรยึดหรือเสียค่าปรับจำนวนมาก
- ประกันภัย ในกรณีที่มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นประกันภัยจะช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด เช่น พัสดุที่เสียหายหรือสูญหาย นี่คือ สิ่งที่คุณต้องรู้
ขั้นตอนปฏิบัติในการจัดการภาษีและอากรสำหรับการนำเข้า
การจัดการพิกัดอัตราภาษีอากร
เมื่อจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศ คุณจะต้องกรอกแบบฟอร์มพิกัดอัตราภาษีอากรรวมทั้ง ใบกำกับสินค้าเชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นเอกสารส่งออกเฉพาะที่มีข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับสินค้าที่หน่วยงานศุลกากรจะใช้ในการคำนวณภาษี ภาษีศุลกากร และอากรที่ต้องชำระ คุณสามารถลดต้นทุนได้ด้วยการจัดการเอกสารพิกัดอัตราภาษีอากรด้วยตนเอง หรือคุณสามารถใช้บริการนายหน้าศุลกากรได้
เลือกบริการนายหน้าศุลกากร
ตัวอย่างเช่น การเป็นพันธมิตรกับ DHL Express จะทำให้ธุรกิจของคุณสามารถเข้าถึงเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญด้านศุลกากรทั่วโลกในกว่า 100 ประเทศ คุณจะได้รับประโยชน์จาก:
- ความโปร่งใสที่สมบูรณ์และการติดตามสิ่งที่สำแดงในนามของคุณ
- อัตราราคาทั่วโลกเพื่อต้นทุนที่โปร่งใส
- เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น เครื่องมือการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ขับเคลื่อนโดย AI จะลดความล่าช้าในการผ่านพิธีการนำเข้าของคุณ
- บริการชำระภาษีและอากรของ DHL หมายความว่าบริษัทจะชำระอากรและภาษีทั้งหมดล่วงหน้าในนามของคุณ เพื่อป้องกันความล่าช้าในการส่งสินค้าไปยังจุดหมายปลายทาง
เตรียมลูกค้าของคุณสำหรับการชำระภาษีนำเข้า
สุดท้ายนี้ ไม่ว่า Incoterms ใดก็ตามที่คุณเลือกสำหรับการจัดส่งระหว่างประเทศ อย่าลืมบอกให้ลูกค้าของคุณทราบล่วงหน้าอย่างชัดเจน เพราะการทำให้ลูกค้าประหลาดใจด้วยค่าธรรมเนียมการจัดส่งที่สูงหลังการซื้อ ไม่ส่งผลดีต่อธุรกิจของคุณ
ขั้นตอนถัดไป
การจัดการภาษีและอากรสำหรับการจัดส่งระหว่างประเทศของคุณอาจฟังดูซับซ้อน แต่ด้วย บัญชีธุรกิจ DHL Express คุณจะได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญด้านศุลกากร ไม่ว่าคุณจะขายให้กับตลาดใดก็ตาม ก็สามารถเติบโตไปทั่วโลกได้กับ DHL