เมื่อธุรกิจของคุณก้าวกระโดดจากการเป็นสตาร์ทอัพอีคอมเมิร์ซสู่แบรนด์เคสโทรศัพท์ที่ผู้คนยุค Instagram ชื่นชอบ โดยเข้าถึงหนึ่งในเจ็ดของคนรุ่นมิลเลเนียลทั่วโลก คุณอาจคิดว่านี่เป็นเรื่องง่ายจนมองความสำเร็จเป็นเรื่องธรรมดาและทำให้คุณเชื่อว่าทุกสิ่งที่คุณทำจะประสบความสำเร็จตลอดไป
แต่ไม่ใช่สําหรับ Wes Ng ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ CASETiFY แบรนด์อุปกรณ์เสริมเทคโนโลยีระดับโลกที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก "จริงๆ แล้วเราปฏิเสธไอเดียและการร่วมงานกันกับแบรนด์อื่น ๆ มากกว่าตอบตกลง ในบางครั้งอาจเป็นเรื่องยากเพราะรูปแบบธุรกิจของเราทั้งหมดสร้างขึ้นจากการทดสอบและการเรียนรู้จากลูกค้าและเติบโตไปตามลำดับ ไอเดียหลายๆ อย่างแค่ไม่เข้ากับรูปแบบของเรา"
ผลิตภัณฑ์ยุคใหม่สําหรับรุ่นใหม่
เมื่อ Ng ซึ่งมีพื้นฐานด้านสื่อใหม่ได้เริ่มต้นธุรกิจเมื่อแปดปีที่แล้วเห็นช่องว่างในตลาดที่เกิดขึ้นจากปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมสองอย่าง หนึ่งคือกลุ่มคนที่ต้องการออกแบบตามความต้องการของตัวเองและทําให้ตัวเองและสิ่งของของตนไม่เหมือนใครในโลกที่ความเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นสิ่งมีค่า และอย่างที่สองคือการใช้โซเชียลมีเดียที่เพิ่มขึ้น ในกรณีนี้คือ Instagram และความต้องการที่จะแสดงความเป็นตัวเองที่ไม่สิ้นสุดในแอพนี้ วิธีแก้ปัญหาของ Ng คืออะไร เคสโทรศัพท์ที่มีการป้องกันระดับทางทหาร เคสกันกระแทกที่ผสมผสานระหว่างฟังก์ชั่นที่ใช้ประโยชน์ได้กับลวดลายใหม่ล่าสุดที่ปรับแต่งได้ตามต้องการ และที่สําคัญที่สุดคือสไตล์และดีไซน์ที่แชร์กันได้ หนึ่งในการแชร์ที่สำคัญเกิดขึ้นเมื่อแบรนด์ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เชฟชื่อดังชาวอังกฤษ Jamie Oliver ช่วยแชร์ CASETiFY ให้ถูกรู้จักไปทั่วโลก
Ng กล่าวว่า "หลังจากที่ Oliver ได้รับสินค้า เขาก็อัปโหลดรูปภาพลงบน InstagramและTwitter ความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทําให้เซิร์ฟเวอร์ของเราล่ม ดังนั้นผมจึงลาออกจากงานประจําและทำธุรกิจอย่างจริงจังร่วมกับพาร์ทเนอร์ของผม และนี่คือที่มาของ CASETiFY" และแม้ว่า Ng จะเป็นคนแรกที่ยอมรับว่า CASETiFY โชคดีพอที่ประสบความสำเร็จจากการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ก่อนที่การตลาดแบบนี้จะเป็นกลายเป็นที่นิยม แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่านี่เป็นบริษัทที่สร้างขึ้นจากพื้นฐานที่มีอัตลักษณ์แบรนด์ที่มั่นคง และนี่คือคุณสมบัติที่จะคงอยู่ตลอดไปในโลกที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
"ใช่ คุณค่าของแบรนด์เราในด้านคุณภาพ ความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรมคือสิ่งที่เราสร้างขึ้น แต่ยังเป็นสิ่งที่ผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้าในตลาดที่มีการแข่งขันที่สูงขึ้นอีกด้วย" Ng กล่าว เมื่อคุณดูได้จากหลักฐานที่มีอยู่ ก็จะเห็นได้ชัดว่ามันสิ่งที่เขาทำมันได้ผล ตลาดอุปกรณ์เสริมมือถือทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอีก 22.21 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างปี 2019-2023 แต่การที่ CASETiFY ยังคงนำหน้าคู่แข่งอยู่สองก้าวเสมอทำให้บริษัทนี้ยังคงยืนหยัดเป็นสินค้าที่ไม่มีอะไรมาแทนได้ในตลาดที่ขยายตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ และในเกือบทุกกลุ่มประชากรที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย
Social collaboration
Ng เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความสำเร็จของ CASETiFY บนโซเชียลมีเดีย "Instagram สร้างแบรนด์ของเรา นี่คือความจริงที่จะไม่เปลี่ยนแปลง" แต่เช่นเดียวกับที่ธุรกิจหลายๆ แห่งได้เรียนรู้ว่านั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะประสบความสำเร็จหรือคงอยู่ตลอดไป ดังนั้นอะไรคือเคล็ดลับของ CASETiFY "สิ่งแรกและสำคัญที่สุด" Ng กล่าว "คือการศึกษาข้อมูลอย่างจริงจัง ไม่มีทางลัดในการทำความเข้าใจตลาดของคุณ ดังนั้นเราจึงใช้เครื่องมือทุกอย่างที่มี ไม่ว่าจะเป็นแบบเสียเงินหรือไม่ก็ตาม เพื่อค้นหาสิ่งที่ใช้ได้ผลกับลูกค้าของเรา ลองทุกอย่าง ทดสอบทุกอย่าง จากนั้นนำความรู้นั้นไปพัฒนาธุรกิจของเรา"
สำหรับ CASETiFY การใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกนั้นมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่การร่วมงานใหญ่ๆ ที่ดึงดูดความสนใจไปจนถึงการสร้างสรรค์ที่เน้นการออกแบบหรือฟังก์ชั่นใช้งาน แน่นอนว่าการใช้พลังจากการขายให้ลูกค้าที่มีชื่อเสียงอย่างนักฟุตบอล Lionel Messi ที่สั่งทำเคสที่ออกแบบเองทุกครั้งที่เขาได้โทรศัพท์ใหม่หรือการร่วมมือกับแบรนด์อื่นๆ เช่น SJP by Sarah Jessica Parker, Moncler, Vetements และแน่นอน DHL ในปี 2018 CASETiFY ได้สร้างคอลเลกชันรุ่นพิเศษที่ใช้สีแดงและเหลืองที่เป็นเอกลักษณ์ของ DHL ใช้เทปและใบส่งของเป็นสัญลักษณ์เพื่อสะท้อนถึงแพชชั่น มาตรฐานการบริการคุณภาพสูง ความมุ่งมั่นเพื่อความรวดเร็ว และแนวคิดที่ว่าทุกสิ่งเป็นไปได้ของแบรนด์
แต่ความร่วมมือเหล่านี้จะไม่ประสบความสำเร็จหาก CASETiFY ไม่ฟังความต้องการของลูกค้าอย่างใกล้ชิดเสมอ การออกแบบของแบรนด์ประสบความสำเร็จและเป็นที่จดจำมากจน Ng เปรียบเทียบผู้ติดตามที่ภักดีที่สุดของพวกเขากับ 'sneakerheads' หรือผู้สะสมรองเท้าผ้าใบที่มีความหลงใหลและทุ่มเทในการเก็บคอลเลคชั่นของพวกเขา
นําออกสู่ตลาด
ข้อดีอย่างหนึ่งของการเปิดตัว CASETiFY ในฐานะธุรกิจอีคอมเมิร์ซแทนที่จะเปิดร้านค้าคือ Ng สามารถระบุและตอบสนองสิ่งที่ลูกค้าของเขาต้องการได้อย่างแม่นยํา ไม่จําเป็นต้องสร้างผลิตภัณฑ์ฟุ่มเฟือยหรือสร้างแบรนด์เพื่อขายในธุรกิจ มีเพียงผลิตภัณฑ์หลักที่แข็งแกร่งซึ่งได้รับการสนับสนุนจากคุณค่าหลักของแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกัน และนี่เป็นทัศนคติที่ขยายไปสู่ข้อเสนอของ CASETiFY ทั้งหมดอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ตัวอย่างเช่นเมื่อถูกถามถึงความคิดเกี่ยวกับการขนส่งทั่วโลก Ng ตอบว่า: "จงแข่งขัน มันยากมากที่จะนำหน้าคนอื่นเมื่อคุณเพิ่งเริ่มต้นและหากคู่แข่งรายใดรายหนึ่งของคุณเสนอโซลูชั่นโลจิสติกส์ที่ดีกว่า นั่นหมายความว่ามีโอกาสสูงที่คุณจะเสียลูกค้าไป คําแนะนําของผมคือเริ่มต้นด้วยการทําให้ลูกค้าของคุณได้รับสินค้าอย่างง่ายที่สุด จากนั้นเมื่อคุณมีลูกค้าประจำแล้วคุณจะสามารถเริ่มเจรจากับสิ่งต่าง ๆ ได้เช่น P&P"
อันที่จริงด้วยการสร้างคีย์ API ของ DHL ลงในแพลตฟอร์มของพวกเขา CASETiFY สามารถเจาะตลาดอื่น ๆ เช่นอเมริกาเหนือและยุโรปได้อย่างรวดเร็วโดยเติบโตในความเร็วที่น่าทึ่ง ผลตอบแทนที่น่ายินดีจากการทำสิ่งต่าง ๆ แบบนี้คือ CASETiFY เตรียมเปิดหน้าร้านสองแห่งในฮ่องกงและญี่ปุ่นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทั้งสองแห่งได้รับการออกแบบมาเพื่อสะท้อนการเดินทางของลูกค้าในรูปแบบประสบการณ์ที่ให้ความรู้สึกร่วมและน่าตื่นตาตื่นใจ
การปรับตัวสู่ความสําเร็จ
ความสำเร็จอาจไม่ยั่งยืน นี่เป็นเหตุผลที่ CASETiFY เตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอในเมื่อใดก็ตามที่จําเป็น การเปลี่ยนแปลงสำคัญอย่างหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้คือการย้ายไปใช้แพลตฟอร์ม m-commerce เพื่อเพิ่มการเข้าถึง "นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดอันดับหนึ่งสำหรับธุรกิจออนไลน์ในขณะนี้ เราใช้แพลตฟอร์ม m-commerce ของเราเอง แต่ตัวเลือกที่มีอยู่ทั่วไปอย่าง Shopify ก็เป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับธุรกิจใหม่ๆ เช่นกัน" Ng กล่าว หรือการนำฟีดแบ็กที่ได้รับอย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางต่างๆ ไปปรับใช้ การนำโลโก้และภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่มาใช้ ซึ่ง Ng ยังบอกอีกว่าสิ่งเหล่านี้สร้างความสำเร็จให้กับริษัทมากกว่าที่เขาคิดไว้